นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า โครงการที่รัฐบาลใหม่ต้องเข้ามาเร่งรัดดำเนินการนอกจากนโยบายและมาตรฐานการส่งเสริมให้มีการดึงดูดลงทุนที่มีอยู่แล้วคือ โครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 และท่าเรือมาบตาพุตระยะที่ 3 รวมทั้งโครงการสนามบินและเมืองการบินอู่ตะเภา หากรัฐบาลใหม่สามารถขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่อีอีซีให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 ปี จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักธุรกิจและนักลงทุนได้ว่า ประเทศไทยมีความพร้อมในการรองรับการลงทุนรอบใหม่
“มีหลายนโยบายที่พรรคการเมืองต่างๆ ได้หาเสียงไว้ แต่ไม่ได้พูดในเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และเดินหน้าโครงการที่มีความพร้อมอยู่แล้ว อย่างในพื้นที่อีอีซีสามารถทำต่อได้เลย ซึ่งอยากให้รัฐบาลใหม่ที่กำลังจะเข้ามาทำต่อไปเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางดึงดูดเงินเข้าภูมิภาคนี้ หากไปทำในพื้นที่อื่นก็จะไม่ทันเพราะต้องใช้เวลานานในการศึกษา และทำกฎหมาย ทั้งนี้มั่นใจว่าใน 1-2 ปีนี้ สามารถเดินหน้าโครงการที่ล่าช้าไปได้ทั้งหมด ก็จะสร้างความมั่นใจให้นักธุรกิจและนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย”
ขณะที่อีกโครงการหนึ่งที่เป็นเมกะโปรเจกต์ที่รัฐบาลใหม่ควรเข้ามาผลักดันให้เกิดขึ้นก็คือ โครงการท่าเรือฝั่งตะวันตกหรือเวสเทิร์น พอร์ต ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการขนส่งทางเรือของไทยไปยังประเทศขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านทิศตะวันตก เช่น อินเดีย โดยมองว่าควรจะมีการฟื้นโครงการการพัฒนาท่าเรือระนองเชิงพาณิชย์ที่รัฐบาลเคยมีการผลักดันโครงการนี้เพื่อเป็น เวสเทิร์น เกต ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้หรือเอสอีซีของประเทศไทย
ทั้งนี้จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจทั้งจีนและสหรัฐ รวมทั้งสงครามที่เกิดขึ้นในยุโรประหว่างรัสเซียและยูเครน รวมทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์หลายพื้นที่ในโลก ทำให้เกิดกระแสการเคลื่อนย้ายการลงทุนมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในหลายอุตสาหกรรม โดยมีประเทศที่เป็นเป้าหมายการลงทุนได้แก่ เวียดนาม อินโดนิเซีย และประเทศไทย ซึ่งการดึงดูดอุตสาหกรรมสำคัญๆ ให้เข้ามาลงทุนในประเทศ จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะ 5 ปีข้างหน้า หากไทยไม่รีบดึงอุตสาหกรรมทาตั้งฐานการผลิตได้ในช่วงนี้ จะทำให้ตกขบวนในการแข่งขันในภูมิภาคคำพูดจาก ทดลองเล่นสล็อต